คุณภาพของน้ำมันหอมระเหยจาก BOTANICESSENCE |
|
|
คุณภาพของน้ำมันหอมระเหย ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาทำการกลั่นน้ำมันหอมระเหย กรรมวิธีการกลั่น ระยะเวลาที่ใช้ในการกลั่นอย่างถูกต้อง และการรักษาความสะอาดตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตจนถึงการบรรจุขวด โดยที่น้ำมันหอมระเหยของที่เราจัดจำหน่ายนั้น ได้รับการคัดสรรคุณภาพจากผู้ผลิตหลาย ๆ รายมาเป็นอย่างดี และคัดเลือกคุณภาพที่ดีที่สุด นำเข้ามาจากทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส บัลแกเรีย อังกฤษ ออสเตรเลีย เนปาล แอฟริกาใต้ มาร์ดากัสการ์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และที่เองผลิตได้ในประเทศไทย ซึ่งผู้ผลิตเหล่านี้ มีกระบวนการผลิตตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการกลั่นที่ได้มาตรฐาน มีการควบคุมคุณภาพเป็นอย่างดีและมี Certificate of Analysis รับรองคุณภาพของน้ำมันหอมระเหยที่นำเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ผลิตในแถบยุโรปอย่างฝรั่งเศส อังกฤษ และบัลแกเรียที่เราทำการนำเข้าน้ำมันหอมระเหยนั้น ก็เป็นผู้ผลิตน้ำมันหอมระเหยให้กับแบรนด์น้ำหอมชั้นนำในยุโรป ที่มีการนำน้ำมันหอมระเหยไปเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ของแต่ละที่เช่นกัน อีกทั้งบรรจุภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยที่เราใช้เป็นวัสดุขวดแก้วทึบที่มีคุณภาพสูงอย่างดี ซึ่งผลิตมาเพื่อบรรจุผลิตภัณฑ์แบบน้ำมันหอมระเหยโดยเฉพาะ ด้วยเหตุผลข้างต้น จึงทำให้ท่านมั่นใจได้ว่าน้ำมันหอมระเหยที่คุณได้จากเราไปนั้น มีคุณภาพอยู่ในระดับแถวหน้าของน้ำมันหอมระเหยทั้งหมดที่จำหน่ายอยู่ทั้งในและนอกประเทศ มีคุณภาพทัดเีทียมกับน้ำมันหอมระเหยที่จำหน่ายบนเวบไซท์ชั้นนำในต่างประเทศ เช่น อเมริกา อังกฤษ และยุโรป และมีคุณภาพอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าสินค้าเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยของแบรนด์ต่างประเทศที่มีการนำเข้ามาจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือสปาชั้นนำ แทบทุกแห่งในประเทศ
|
|
|
น้ำมันหอมระเหย BOTANICESSENCE แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร |
|
|
BOTANICESSENCE มีน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ สกัดจากพืชธรรมชาติ 100% อยู่ 3 แบบที่แตกต่างกัน และน้ำมันธรรมชาติ Virgin Oil คือ
1. น้ำมันหอมระเหย Certified Organic
เป็นน้ำมันหอมระเหยแท้ 100% ที่สกัดจากพืชที่เติบโตตามธรรมชาติ หรือได้รับการเพาะปลูกโดยวิธีเกษตรอินทรีย์โดยไม่ใช่สารเคมีตลอดขั้นตอนการเพาะปลูก รวมถึงมีการควบคุมมาตรฐานตลอดทุกขั้นตอนการเก็บเกี่ยวและนำวัตถุดิบมากลั่น เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยที่ได้มานั้นมีความสะอาดและบริสุทธิ์ 100% ตรงตามมาตรฐานขององค์กรที่ให้ใบรับรอง Certified Organic เช่น USDA หรือ ECOCERT โดยเอกสารรับรองความเป็นผลิตภัณฑ์ออแกนิกส์นั้น จะมีรายการของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองกำกับอยู่ด้วย และส่วนมากจะมีอายุประมาณไม่เกิน 1 ปีก่อนที่ผู้ผลิตแต่ละรายจะต้องต่ออายุใบ Certificate ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ส่วนมากแล้ว เนื่องจากขั้นตอนการขอ Certificate ค่อนข้างเข้มงวดและมีค่าใช้จ่ายสูง จึงทำให้ Organic Certificate มักจะมีเฉพาะในผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่เท่านั้น แต่จะว่าไปแล้ว การที่น้ำมันหอมระเหยชนิดใด ๆ เป็นน้ำมันหอมระเหย Certified Organic นั้น ไม่ได้หมายความว่าน้ำมันหอมระเหยนั้นมีคุณภาพดีที่สุด เพราะ Organic Certificate เป็นเพียงการรับรองคุณภาพแบบ Organic เท่านั้น อีกทั้งการวัดคุณภาพของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น แหล่งเพาะปลูก สภาพดินฟ้าอากาศ และการดูแลเอาใจใส่ตลอดการดำเนินงานอีกด้วย
2. น้ำมันหอมระเหยแท้ 100%
น้ำมันหอมระเหยแท้ 100% ของเราเกือบทุกชนิดเป็นน้ำมันหอมระเหย Organic ที่มีการปลูกและสกัดโดยไม่ใช้ปุ๋ยหรือสารเคมี (Unsprayed) หลายตัวสกัดจากแหล่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (Wild Crafted) เช่น เก็บจากป่าหรือที่ราบสูงตามแหล่งธรรมชาติของพืชชนิดนั้น ๆ น้ำมันหอมระเหยเกรดนี้มีคุณสมบัติและข้อมูลไม่ต่างอะไรกับน้ำมันหอมระเหย Certified Organic เพียงแต่ว่าผู้ผลิตที่ปลูกพืชและกลั่นน้ำมันหอมระเหยนั้น ไม่ได้ลงทะเบียนหรือขอ Organic Certificate จากองค์กรที่ให้การรับรอง อาจเนื่องด้วยเหตุผลที่เป็นฟาร์มเล็ก ๆ มีการเพาะปลูกและผลิตน้ำมันหอมระเหยเีพียงไม่กี่ชนิดและได้รับความเชื่อมั่นในคุณภาพและชื่อเสียงของน้ำมันหอมระเหยที่ผลิตอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องขอใบรับรองจากองค์กรใด ๆ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าน้ำมันหอมระเหยแท้ 100% ที่ได้จากผู้ผลิตเหล่านี้ จะมีคุณภาพด้อยกว่าน้ำมันหอมระเหยที่มี Organic Certificate แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม น้ำมันหอมระเหยจากผู้ผลิตจากฟาร์มเล็ก ๆ บางรายจากแหล่งเพาะปลูกที่ดี มีการดูแลเอาใจใส่ในคุณภาพของพืชและมีเทคนิคการกลั่นน้ำมันหอมระเหยที่ได้รับการสืบทอดกันมาในครอบครัว ก็สามารถให้ผลผลิตน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดได้เช่นกัน
3. น้ำมันหอมระเหยเบลนด์
น้ำมันหอมระเหยเบลนด์ หรือน้ำมันหอมระเหยผสม เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ทาง BOTANICESSENCE นำน้ำมันหอมระเหยแท้ 100% หลาย ๆ ชนิด มาผสมกันตามอัตราส่วนที่พอเหมาะตามสูตรของเราเอง เพื่อให้ได้น้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพพิเศษตามที่ต้องการ เช่น น้ำมันหอมระเหยเบลนด์ Sleep Well ที่เราใช้ Roman Chamomile, Lavender และ Ylang Ylang ผสมกันเพื่อให้ได้คุณสมบัติในการช่วยคลายความตึงเครียด และช่วยผ่อนคลายให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น หรือน้ำมันหอมระเหยเบลนด์ Purify ที่ผสมจาก Frankincense, Tea Tree และ Eucalyptus ที่มีคุณสมบัติช่วยในการฆ่าเชื้อโรคและปรับอากาศให้บริสุทธิ์ เมื่อใช้กับการกระจายกลิ่นในอากาศด้วยเตาน้ำมันหอมระเหย หรือเครื่อง diffuser.
4. สารสกัดสำหรับทำน้ำหอม
สารสกัดสำหรับทำน้ำหอม จริง ๆ แล้วก็คือน้ำมันหอมระเหยแท้ 100% และสารสกัด Absolute จากธรรมชาติ พืช หรือดอกไม้บางชนิด ที่มีการสกัดเอากลิ่นหอมออกมาเพื่อวัตถุประสงค์หลักคือ ใช้เป็นส่วนประกอบในการทำน้ำหอมฉีดตัว หรือนำไปแต่งกลิ่นตามความต้องการในงานที่แตกต่างกันไปแต่หลัก ๆ คือเป็นเรื่องกลิ่นหอม ไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติทางสุคนธบำบัด ดังนั้น ข้อมูลของผลิตภัณฑ์ในส่วนนี้จะบอกโน๊ตของสารสกัดแต่ละตัว ประเภท กระบวนการสกัด ลักษณะทางกายภาพเช่นสี โทนกลิ่น ความคงทนของกลิ่น และรายละเอียดที่จำเป็นอื่น ๆ ในการทำน้ำหอม แต่จะไม่มีคุณสมบัติอื่นเหมือนกับรายละเอียดในกลุ่มน้ำมันหอมระเหย ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ มักเป็นกลิ่นหอมที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ หรือดอกไม้ที่สกัดกลิ่นหอมออกมาได้ยาก เช่น กฤษณา อำพันทะเล ดอกโบโรเนีย ดอกมะลิ มอสจากต้นโอ๊ค ดอกส้ม เหง้าไอริส ซ่อนกลิ่น และไวโอเล็ต
5. Floral Water หรือ Hydrosol
น้ำสกัดชนิดนี้ไม่ใช่การน้ำน้ำมันหอมระเหยไปผสมน้ำ หรือละลายน้ำมันหอมระเหยในน้ำ แต่เป็นน้ำสกัดที่ได้จากการกลั่นน้ำมันหอมระเหย หรือที่มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Floral Water หรือ Hydrosol เป็น by-product หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันหอมระเหย น้ำสกัดนี้จะมีสารธรรมชาติแบบละลายน้ำได้ของพืชที่นำมาใช้สกัดน้ำมันหอมระเหยเป็นองค์ประกอบหลัก แตกต่างจากน้ำมันหอมระเหยที่มีสารธรรมชาติที่ละลายน้ำไม่ได้ น้ำสกัดมีความอ่อนเบาและความเจือจางสูง สามารถนำไปใช้แทนน้ำมันหอมระเหยได้สำหรับผู้ที่มีปัญหา Sensitive หรือมีปัญหาการระคายเคืองจากความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหย สามารถใช้กับผิวได้โดยตรง ส่วนมากนิยมนำไปทำเป็นสเปร์บำรุงผิวหรือผสมน้ำอาบ
6. น้ำมันธรรมชาติ Virgin Oil & Refined Oil
น้ำมันธรรมชาติ Virgin Oil หรือที่เรียกกันว่า Carrier Oil, Fixed Oil, Base Oil หรือน้ำมันพืช (Vegetable Oil) ไม่ใช่น้ำมันหอมระเหย แต่เป็นน้ำมันที่ได้จากพืชทั่วไป โดยเฉพาะจากส่วนที่เป็นเมล็ดเสียส่วนใหญ่ ประกอบด้วยกรดไขมันเป็นหลัก มีกลิ่นอ่อนกว่าน้ำมันหอมระเหยจนถึงอาจจะไม่มีกลิ่นในบางชนิด มีความอ่อนโยนและสามารถใช้กับผิวได้โดยตรงโดยไม่เกิดอันตรายเว้นแต่ผู้ที่มีอาการแพ้เท่านั้น น้ำมันชนิดนี้มีหลายเกรดด้วยกัน เช่น น้ำมันที่ได้จากการสกัดด้วยวิธีสกัดเย็น จะเรียกว่า Cold Pressed Oil, Crude Oil, Expeller Oil หรือ Virgin Oil เป็นน้ำมันที่มีคุณภาพสูงที่สุด อุดมด้วยแร่ธาตุและส่วนประกอบตามธรรมชาติในปริมาณที่มากที่สุด ตัวอย่างน้ำมันเหล่านี้คือ Apricot Kernel, Argan, Moringa, Rose Hip, Pomegranate และอีกประเภทหนึ่งคือน้ำมันสกัดร้อน หรือน้ำมันธรรมชาติผ่านกรรมวิธีการสกัด หรือที่เรียกว่า Refined Oil เช่น Avocado, Grapeseed, Sweet Almond เป็นต้น โดยรายละเอียดและข้อแตกต่าง มีข้อมูลดังนี้
6.1 น้ำมันสกัดเย็น (Cold Pressed Oil)
น้ำมันสกัดเย็น ได้จากกระบวนการบีบวัตถุดิบด้วยเครื่องบีบหรือกดไม่ว่าจะเป็นแบบสกรูหรือแบบไฮดรอลิคกด ซึ่งมีข้อจำกัดว่าตลอดกระบวนการสกัดจะต้องถูกควบคุมให้มีความร้อนไม่เกิน 80-90 องศาฟาเรนไฮท์ หรือประมาณ 26-32 องศาเซลเซียส ทำให้ได้น้ำมันที่อุดมไปด้วยสารอาหารธรรมชาติ (Phyto-Nutrients) ที่มีประโยชน์ รวมถึงวิตามินต่าง ๆ ไม่ถูกทำลายไปด้วยความร้อน หลังจากได้น้ำมันมาแล้ว ก็จะมีการกรองเพื่อแยกกากและตะกอนออก ทำให้ได้น้ำมันที่ใส มีสีและกลิ่นหอมตามธรรมชาติของวัตถุดิบที่นำมาสกัด โดยตลอดทั้งกระบวนการตั้งแต่บีบสกัดและกรอง จะห้ามไม่ให้มีความร้อน ไม่ให้มีการใช้สารเคมี และไม่ให้มีการแต่งเติมไม่ว่าจะสีหรือกลิ่นลงไปในกระบวนการใด ๆ อย่างเด็ดขาด น้ำมันที่มีคุณภาพ อาจจะใสหรือมีตะกอนตามธรรมชาติได้ แต่น้ำมันที่ผ่านการผลิตอย่างดี จะใสและได้รับการกรองอย่างดีไม่ให้มีตะกอน
น้ำมันสกัดเย็นที่ได้ตามกระบวนการข้างต้น จะถูกเรียกได้หลายชื่อ Cold-Pressed Oil, Unrefined Oil แต่การที่จะถูกเรียกว่า Virgin Oil หรือน้ำมันสกัดเย็นบริสุทธิ์นั้น จะต้องมีข้อจำกัดอีก 2 อย่าง คือ ค่า FFA หรือ Free Fatty Acid จะต้องไม่เกิน 4% หรือตามมาตรฐานของน้ำมันแต่ละชนิดที่กำหนดใน Specification และค่า Acid Value จะต้องไม่เกิน 2 หรือตามมาตรฐานเช่นกัน
ข้อดีของน้ำมันสกัดเย็นคือมีสารอาหารธรรมชาติสมบูรณ์ครบถ้วน สามารถนำไปบำรุงร่างกาย ผิวพรรณ เส้นผม มือและเล็บ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ก็มีข้อเสียในการนำไปใช้คือ สีที่อาจจะเข้มและกลิ่นตามธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบกลิ่นของวัตถุดิบบางชนิด ถึงแม้จะมีคุณค่าทางสารอาหารมากมายก็ตาม และอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ เนื้อน้ำมันที่ค่อนข้างหนัก ทำให้อาจรู้สึกเหนอะหนะในระหว่างใช้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วน้ำมันจะสามารถซึมซาบลงสู่เซลล์ผิวได้หมดก็ตาม
6.2 น้ำมันสกัดแบบ Expeller (Expeller Pressed Oil)
บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้าง แม้จะไม่ค่อยคุ้นหูนัก เพราะส่วนมากน้ำมันที่ได้จากการสกัดแบบ Expeller จะถูกเหมาไปเป็นน้ำมันสกัดเย็น (Cold Pressed Oil) ซะหมด ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ถูกต้อง เพราะวิธีการสกัดแบบ Expeller นั้นถึงแม้จะเหมือนกับวิธีการสกัดน้ำมันแบบสกัดเย็นทุกประการ แต่แตกต่างกันตรงอุณหภูมิในระหว่างสกัดน้ำมันจะสูงเกินกว่าค่าที่กำหนดไว้ในมาตรฐานของการสกัดเย็น (มากกว่า 32 องศาเซลเซียส) ส่วนมากแล้ว จะเกิดจากการสกัดน้ำมันที่ใช้วิธีการสกัดแบบเครื่องสกรูบด (Screw Pressed) ที่ไม่มีการควบคุมรอบความเร็วเครื่อง และอุณหภูมิระหว่างการบีบน้ำมัน
6.3 น้ำมันสกัดร้อน หรือน้ำมันสกัดผ่านกรรมวิธี (Refined Oil)
น้ำมันชนิดนี้หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นน้ำมันที่ไม่มีคุณภาพและไม่ดีต่อร่างกาย ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง โดยกระบวนการผลิตน้ำมันในกลุ่มนี้จะเกิดขึ้นในโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่มีกรรมวิธีการสกัดที่ซับซ้อน ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และอาจใช้สารเคมีร่วมด้วยในบางกระบวนการ (ก่อนจะสกัดออกไปให้เหลือแต่น้ำมันธรรมชาติ) ทำให้ได้น้ำมันที่มีสี กลิ่น ความเบาบางของเนื้อน้ำมันที่มีมาตรฐาน รวมถึงคุณลักษณะพิเศษ เช่น ไม่เป็นไขเมื่ออยู่ในที่อุณหภูมิต่ำ เป็นต้น
กระบวนการสกัดเริ่มจากการนำวัตถุดิบไปบดให้ละเอียด แล้วผ่านไอน้ำความร้อนสูง ก่อนที่จะผสมกับตัวทำละลายเฮกเซน (Hexane) ซึ่งจะช่วยละลายน้ำมันออกมาจากวัตถุดิบ แล้วจึงคั้นแยกกากทิ้งไป ก่อนที่จะนำน้ำมันที่ได้ไปผ่านกระบวนการกลั่นเพื่อแยกเฮกเซนออกจากตัวน้ำมันนำกลับไปใช้ใหม่ ทำให้ได้น้ำมันดิบที่เรียกว่า Crude Oil
หลังจากที่ได้น้ำมันดิบแล้ว น้ำมันดิบจะถูกนำไปผ่านกรรมวิธีที่คัดสรรมา เพื่อทำการผลิตน้ำมันแต่ละชนิดให้ได้ตรงตามความต้องการของโรงกลั่น ไม่ว่าจะเป็นการใส่สารกำจัดยางข้นเหนียวในน้ำมัน การกำจัดกรดไขมันอิสระบางตัวที่ไม่ต้องการ การขจัดสีของน้ำมันโดยใช้แป้ง การกำจัดแวกซ์ด้วยวิธีการลดอุณภูมิ การกรอง และในขั้นตอนสุดท้ายคือการนำน้ำมันที่เหลือไปผ่านกระบวนการกลั่นด้วยไอน้ำที่ความดันและอุณหภูมิสูง ทำให้ได้น้ำมันที่ใส สีและกลิ่นเบาบาง สะอาด ปลอดภัยและบริสุทธิ์ 100% สามารถทำไปใช้ได้ทั้งนำไปประกอบอาหาร และผลิตเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าการนำน้ำมันสกัดเย็นไปใช้ เพราะไม่ส่งผลกระทบต่อสีและกลิ่นของเนื้อครีมหรือผลิตภัณฑ์ เพียงแค่คุณค่าของสารอาหารธรรมชาติ จะถูกทำลายไปพอสมควรในระหว่างกระบวนการผลิตนั่นเอง
ในน้ำมันบางชนิดที่นำวัตถุดิบมาสกัดแบบ Refined โดยตรงโดยไม่ผ่านการนำไปสกัดเย็นก่อนนำกากที่เหลือมากลั่นแบบ Refined และให้ผลผลิตในปริมาณที่มากกว่าการสกัดแบบสกัดเย็นไม่มาก น้ำมันแบบ Refined นี้อาจจะมีราคาสูงกว่าน้ำมันแบบสกัดเย็น เนื่องจากต้นทุนในด้านการผลิต และในนำมันบางชนิดที่ผลผลิตแบบ Refined มีมากกว่าแบบสกัดเย็นก็จะมีราคาถูกกว่ามากเช่นกัน
ข้อดีของน้ำมันแบบ Refined คือ เนื้อใส บางเบา ส่วนมากมีราคาถูกกว่าน้ำมันแบบสกัดเย็น เหมาะสำหรับทำเครื่องสำอางโดยเฉพาะครีมเนื่องจากไม่มีผลเรื่องสีและกลิ่น และนำไปเป็น Base Oil หลักที่ใช้ในน้ำมันนวดตัว (Massage Oil) แต่ข้อเสียก็อย่างที่ว่า คือ สารอาหารธรรมชาติในการบำรุงจะน้อยกว่าน้ำมันสกัดเย็นแน่นอน
|
|
|
ทำไมน้ำมันหอมระเหย หรือ Absolute บางชนิดถึงจำหน่ายแบบ 10% ในขณะที่เกือบทั้งหมดจำหน่ายแบบ 100% |
|
|
โดยส่วนมาก น้ำมันหอมระเหยที่สกัดด้วยวิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ (Steam Distillation) จะอยู่ในสภาพของเหลวที่สามารถไหลและบรรจุในขวดสำหรับหยดได้ง่าย ทำให้สะดวกต่อการนำไปใช้ แต่ก็มีบางชนิดที่อยู่สภาพบัตเตอร์ หรือมีสกัดด้วยวิธีตัวทำละลาย (Solvent Extraction) ซึ่งได้สารสกัด Absolute ที่มีสภาพค่อนข้างหนืด หรือเหนียวข้น ทำให้การแบ่งบรรจุหรือการนำไปใช้จะค่อนข้างยาก ต้องนำขวดที่บรรจุไปวอร์มด้วยน้ำอุ่นที่อุณหภูมิพอเหมาะเพื่อให้มีสภาพเหลวขึ้นและใช้ได้ง่าย และกลุ่มนี้จะเป็นกลิ่นหอมที่อยู่ในกลุ่มสารสกัดที่เน้นไปในด้านการทำน้ำหอมมากกว่าการจะนำไปใช้ในเชิง Aromatherapy ซึ่งเหมาะกับการเจือจางด้วย Alcohol มากกว่าน้ำมัน Virgin Oil.
ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำหน่าย Absolute ในกลุ่มนี้ในแบบเจือจาง 10% ในตัวทำละลายคือ Ethyl Alcohol 99.8% Food Grade ที่มีความสะอาดและปลอดภัย ไม่มีรสขมของสารเติมแต่ง ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้ได้สะดวกง่ายยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ดี หากผู้ซื้อต้องการแบบ 100% ไม่มีการเจือจาง เราก็มีจำหน่ายในขนาด 5 กรัม และ 10 กรัม ให้เลือกซื้อได้เช่นกัน
ตัวอย่างของ Absolute และ Butter ในกลุ่มนี้ได้แก่ Calendula, Frangipani, Jasmine, Lavender, Lotus, Neroli, Oakmoss, Osmanthus, Rose, Orris Florentine, Tuberose, Vanilla และ Violet Leaf
คำถาม: ถ้าเจือจาง 10% แล้วกลิ่น Alcohol จะฉุนหรือไม่ และกลิ่นจะจางจนไม่ได้กลิ่นสารสกัดหรือไม่ ?
คำตอบ: หลายคนอาจจะคิดว่าการเจือจางด้วย Alcohol เป็นปริมาณมากจนเหลือสารสกัดกลิ่นหอมเพียงแค่ 10% จะทำให้กลิ่นที่ได้จางจนแทบไม่ได้กลิ่น และความฉุนของ Alcohol จะกลบกลิ่นธรรมชาติจนหมด แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะหากเราผสมแล้วพักกลิ่นเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ กลิ่นจะผสมกันจนความฉุนของ Alcohol ลดลงและความเข้มข้นของกลิ่นหอมที่สกัดได้จากธรรมชาติจะยิ่งโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ซื้อสามารถรู้สึกถึงความหอมของกลิ่นหอมสกัดได้ดีมากกว่าความเข้มข้นแบบ 100% ที่อาจจะมากเกินไปจนทำให้ประสาทการรับรู้กลิ่นเกิดการล้าด้วยซ้ำ เพราะโดยปกติแล้ว ในกระบวนการทำน้ำหอมก็จะใช้กลิ่นหอมสกัดจากธรรมชาติเพียงแค่ 1.00%-15.00% เท่านั้น
คำถาม: การใช้ Alcohol เป็นตัวทำละลาย จะทำให้เกิดการระคายเคืองหรือไม่ ?
คำตอบ: ด้วยเหตุนี้ เราจึงเลือกใช้ Ethyl Alcohol เกรดอาหารที่มีความบริสุทธิ์ถึง 99.80% ซึ่งเป็นเกรดที่ดีกว่า Alcohol 95% ทั่วไป ซึ่งเกรดที่เราใช้ สามารถรับประทานได้ด้วยซ้ำ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพหรือความเสี่ยงในการระคายเคืองผิวแต่อย่างใด เว้นสำหรับผู้ที่แพ้ Alcohol เท่านั้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถใช้น้ำหอมฉีดตัวได้เช่นกัน เนื่องจากน้ำหอมฉีดตัวในท้องตลาดเกือบทั้งหมดก็มีตัวทำละลายเป็น Alcohol อยู่แล้ว จะว่าไป Alcohol มีความเสี่ยงที่จะระคายเคืองน้อยกว่าน้ำมัน Virgin Oil บางชนิด หรือแม้แต่ตัวสารสกัดกลิ่นหอมที่นำมาละลายด้วยซ้ำ
[กลับไปสู่หน้าเดิม]
|
|
|
ผู้ซื้อจะทราบได้อย่างไรว่าคุณภาพของสินค้าที่ขายเป็นอย่างไร มีการสนับสนุนเอกสารรับรองหรือไม่ |
|
|
วิธีการในการตรวจสอบคุณภาพของเบื้องต้นจากผู้ขาย เริ่มต้นจากการเปรียบเทียบราคาของสินค้า น้ำมันหอมระเหยบางชนิดที่มีกรรมวิธีการสกัดที่ยาก หรือต้องใช้วัตถุดิบเป็นปริมาณมากเพื่อจะกลั่นน้ำมันหอมระเหยในปริมาณใด ๆ ควรมีราคาที่แพงเป็นปกติ ดังนั้นถ้าราคาที่คุณพบเป็นราคาที่ถูกเกินไป ให้คุณถามเหตุผลจากผู้ขายถึงการตั้งราคานั้น อย่างเ่ช่นน้ำมันหอมระเหยกุหลาบดามัส หรือ Rose Otto ต้องใช้กลีบกุหลาบปริมาณหลายตัน เพื่อที่จะกลั่นให้ได้น้ำมันหอมระเหยออกมา 1 ลิตรนั้น ไม่ควรมีราคาต่ำกว่า 800-1,000 บาทต่อ 1 มิลลิลิตร หรือ 800,000 บาทต่อลิตร ถ้าผู้ขายไม่สามารถให้คำตอบที่น่าเชื่อถือได้ ผู้ซื้อก็ควรตัดสินใจให้ดีว่าจะยอมซื้อหรือไม่ หรือดูปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น บรรจุภัณฑ์ ว่าบรรจุภัณฑ์ที่ผู้ขายใช้นั้น เป็นอย่างไร พึงระลึกไว้เสมอว่า ผู้ขายที่มีความรู้เกี่ยวกับการรักษาคุณภาพน้ำมันหอมระเหยเป็นอย่างดี จะต้องบรรจุน้ำมันหอมระเหยในขวดแก้วพิเศษสีทึบ ที่ทำมาเฉพาะบรรจุน้ำมันหอมระเหยหรือสารที่มีความเข้มข้นสูงเท่านั้น ตัวหยดหรือดรอปเปอร์และฝาปิดต้องทำมาจากพลาสติกแข็งพิเศษ ฝาปิดอาจจะเป็นฝาอะลูมิเนียมก็ได้ เพราะน้ำมันหอมระเหยแท้มีความสามารถในการละลายพลาสติกได้ ถ้าบรรจุน้ำมันหอมระเหยแท้ในขวดพลาสติก ก็จะทำให้เกิดการเจือปนของสารปิโตรเคมีจากขวดพลาสติกที่ถูกน้ำมันหอมระเหยทำละลาย และเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ที่นำไปใช้ หรือในอีกนัยหนึง สินค้าที่บรรจุในขวดพลาสติกนั้น อาจเป็นเพียงน้ำมันหอมสังเคราะห์ธรรมดา ไม่ใช่น้ำมันหอมระเหยแท้ก็ได้
อีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นวิธีตรวจสอบคุณภาพน้ำมันหอมระเหยที่เป็นที่แพร่หลายที่สุด คือผู้ซื้อควรขอดูเอกสารรับรองคุณภาพของน้ำมันหอมระเหย เช่น Specification, Certificate of Analysis (CoA) และ Gas Chromatography Analysis (GC/MS) ของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดจากผู้ขาย ซึ่งข้อมูลในเอกสารเหล่านี้จะบอกถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ ของน้ำมันหอมระเหย ไม่ว่าจะเป็น ชื่อทางวิทยาศาสตร์, แหล่งกำเนิดของน้ำมันหอมระเหย, สีและลักษณะที่สังเกตได้, ค่าความถ่วงจำเพาะ, ค่าการหักเหของแสง (Reflective Index), การทำละลายในแอลกอฮอล์ และน้ำ รวมถึงองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหย ทั้งทางคุณภาพและปริมาณ (Qualitative and Quantitative) ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ซื้อในการที่จะตรวจสอบคุณภาพและความน่าเชื่อถือของทั้งสินค้า และตัวผู้ขายได้เป็นอย่างดี เพื่อให้มั่นใจได้ว่าได้สินค้าและบริการที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
อย่างไรก็ดี มีผู้จำหน่ายน้อยรายมากที่สามารถให้เอกสารเหล่านี้กับทางผู้ซื้อได้เนื่องจากข้อจำกัดในหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะต้นทุนการทดสอบและวิเคราะห์ค่าต่าง ๆ ของน้ำมันหอมระเหยอันเนื่องมาจากราคาของเครื่องมือในการทดสอบที่ค่อนข้างแพงอย่างมาก ทำให้เอกสารเหล่านี้จำกัดอยู่แค่น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากผู้ผลิตขนาดใหญ่ แต่เราก็พยายามรวมรวมเอกสารทั้งหมดจากผู้ผลิตเพื่อการันตีคุณภาพให้กับผู้ซื้อให้มั่นใจได้มากที่สุด ท่านสามารถดาวน์โหลดเอกสารรับรองคุณภาพของน้ำมันหอมระเหยจาก BOTANICESSENCE ได้ที่นี่ [คลิ๊กที่นี่]
เอกสารทางเทคนิคที่สนับสนุนมี 4 ชนิด ดังนี้
- Specification
- Certificate of Analysis (COA)
- Material Safety Data Sheet (MSDS)
- Organic Certificate - สำหรับผลิตภัณฑ์ออแกนิคส์เท่านั้น
เงื่อนไขการสนับสนุนเอกสารทางเทคนิค (Specification, COA, MSDS)
- เอกสารเป็นเพียงข้อมูลอ้างอิงให้กับผู้ซื้อเท่านั้น ไม่ใช่สินค้าหรือพันธะที่ต้องแนบไปกับตัวสินค้าที่จำหน่าย
- เอกสารอาจมีไม่ครบทุกผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย หากจำเป็นต้องใช้ ให้สอบถามก่อนทุกครั้ง
- ผู้ซื้อสามารถดูตัวอย่างเอกสาร (สำหรับอ้างอิงเท่านั้น) ได้ที่นี่ [คลิ๊กเพื่อดูตัวอย่าง]
- เอกสารจะให้สำหรับการสั่งซื้อในขนาดขั้นต่ำดังนี้ ดังนี้
- น้ำมันหอมระเหย ขนาด 1.00 kg ขึ้นไป หรือขนาดเล็กกว่าที่มีราคาไม่น้อยกว่า 20,000 บาท
- น้ำมันสกัดเย็น ขนาด 5.00 ลิตร ขึ้นไป หรือขนาดเล็กกว่าที่มีราคาไม่น้อยกว่า 20,000 บาท
- ไม่จำกัดขนาดและราคา สำหรับสถานศึกษาหรือหน่วยงานราชการ (สั่งซื้อในนามหน่วยงานเท่านั้น)
- สำหรับภาคธุรกิจ เอกชน บริษัท หรือผู้ผลิต ที่มีความจำเป็นต้องใช้เอกสารทางเทคนิคในการนำวัตถุดิบไปไปผลิตตัวอย่างหรือสินค้าจริง เนื่องด้วยกฏหมายหรือข้อบังคับจากหน่วยงานรัฐ หรือด้วยเหตุจำเป็นใด ๆ ก็ตาม เพื่อป้องกันผู้ซื้อนำเอกสารของบริษัทไปใช้รับรองวัตถุดิบที่อาจซื้อหรือได้มาจากแหล่งอื่นที่มีคุณภาพแตกต่างกัน บริษัทจึงขอสงวนสิทธิในการสั่งซื้อขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้แล้วเท่านั้น
สำหรับผู้ที่ต้องการเอกสาร Organic Certificate จะมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ [ตรวจสอบตัวอย่างเอกสารที่นี่]
- บริษัทมีความยินดีที่จะสนับสนุนเอกสารให้แก่ผู้ซื้ออย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ดี บริษัทมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการสนับสนุน Certificate เพื่อรับรองความเป็น Organic Product ของตัวสินค้าเท่านั้น ถึงแม้ว่าผู้ซื้อจะนำไปใช้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ทาง BOTANICESSENCE ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะให้เอกสารไปใช้ หรือยินยอมที่จะมีภาระผูกพันในการสนับสนุนตัวเอกสาร สำหรับผู้ซื้อที่จะนำเอกสารไปใช้ในความต้องการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงส่วนตัว หรือธุรกิจ ทุกกรณี ดังนั้น ในบางเวลาที่สั่งซื้อ เอกสาร Organic Certificate อาจจะเลยกำหนด Anniversary Date ที่แจ้งไว้
โดยปกติแล้ว Organic Certificate จะต้องต่ออายุทุก ๆ 1 ปีโดยประมาณ ในขณะที่ตัวน้ำมันหอมระเหยยังมีอายุใช้งานโดยเฉลี่ย 2-3 ปี ดังนั้น ตัวผลิตภัณฑ์ยังคงมีความเป็นสินค้า Organic อยู่ ถึงแม้ว่าตัว Certificate จะเลยวัน Anniversary Date ที่กำกับไว้ไปแล้ว แต่น้ำมันหอมระเหยใน Lot นั้น ก็ยังจะต้องอิงกับเอกสารชุดนั้นอยู่ต่อไปตาม Shelf-Life เนื่องจากเป็น Lot ที่ได้รับการรับรองตาม Certificate ในปีที่ปลูกและผลิต
- Organic Certificate จะสนับสนุนสำหรับรายการสั่งซื้อที่มีปริมาณมากกว่า 5.0 kg หรือขนาดเล็กกว่าที่มีมูลค่าเกิน 20,000 บาท ขึ้นไปเท่านั้น และบริษัทจะไม่สนับสนุนเอกสารชนิดอื่น ๆ เช่น Transaction Certificate หรือ Extension Letter ในทุกกรณี
- ถึงแม้ว่าในวันที่ผู้ซื้อ ซื้อผลิตภัณฑ์ Organic ที่ตัวเอกสาร Organic Certificate ของวัตถุดิบตัวนั้นหมดอายุไปแล้ว ก็ยังถือว่าตัวผลิตภัณฑ์ยังมีความเป็น Organic Product อยู่ เนื่องจากสินค้าได้มีการปลูกและผลิตในปีและช่วงระยะเวลาที่เอกสารตัวที่หมดอายุนั้นรับรอง ตามรายละเอียดในข้อ (1) แต่ในกรณีที่ผู้ซื้อต้องการ Organic Certificate ตัวใหม่ที่ได้รับการต่ออายุ จะต้องรอหลังจากเอกสารตัวเก่าหมดอายุไปแล้วประมาณ 3 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาปกติในการต่ออายุแล้วได้เอกสารสำหรับรอบระยะเวลาถัดไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับเอกสารจากทางผู้ผลิตเช่นกัน
- สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้า Organic Product และต้องการใช้ Organic Certificate ตัวใหม่ แทนตัวเก่าที่เลย Anniversary Date ไปแล้ว การที่ทางบริษัทจะให้เอกสาร Organic Certificate ตัวใหม่นั้น จะให้สำหรับรายการสั่งซื้อที่เคยซื้อไป ไม่เกิน 6 เดือนย้อนหลังเท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขที่ทางบริษัทจะต้องได้รับเอกสารตัวใหม่จากทางผู้ผลิตแล้วเท่านั้น หรืออาจจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษไป ทั้งนี้ เอกสารใหม่อาจจะได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งเป็นข้อจำกัดจากทางผู้ผลิต และทาง BOTANICESSENCE ขอสงวนสิทธิ์ในกรณีนี้เป็นการพิเศษ
- Organic Certificate เป็นเพียงเอกสารส่งเสริมการขายสำหรับสินค้าน้ำมันหอมระเหยหรือน้ำมันสกัดเย็น Certified Organic ที่ทางเราจำหน่ายเท่านั้น ไม่ใช่เป็นสินค้าหรือเอกสารที่จำหน่ายคู่กันหรือจำเป็นต้องแนบไปกับตัววัตถุดิบ หากผู้ซื้อ มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อตัววัตถุดิบเพียงเพราะต้องการเอกสารไปใช้ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม จะต้องแจ้งความประสงค์ สอบถามเงื่อนไขการได้รับเอกสาร และตรวจสอบรายละเอียดของตัวเอกสารโดยเฉพาะ Anniversary Date (อ่านข้อ 1) ก่อนซื้อทุกครั้ง สินค้าจะไม่รับเปลี่ยนหรือคืนในกรณีที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการสนับสนุนตัวเอกสาร Organic Certificate ในทุกกรณี
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าผู้ซื้อจะซื้อน้ำมันหอมระเหยหรือน้ำมันสกัดเย็นขนาดใดไป หากต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบที่สำคัญของน้ำมันหอมระเหย สามารถส่งอีเมล์มาเพื่อสอบถามได้ที่ botanicessence@yahoo.com หรือสอบถามทาง Line@ ที่ @botanicessence ตลอดเวลา
|
|
|
ทำไมถึงควรเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยแท้ 100% กับทาง BOTANICESSENCE *** ควรทำความเข้าใจอย่างยิ่ง |
|
|
จากข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยที่เรากล่าวไปข้างต้น ถึงแม้จะทำให้ผู้ที่สนใจจะซื้อน้ำมันหอมระเหยแท้ 100% มีความรู้ในระดับหนึ่งในการเลือกซื้อได้ของดีมีคุณภาพ แต่นั่นก็ยังมีข้อจำกัดอีกมาก ต่อให้ผู้ซื้อมีความรู้ความเคยชินในการจำแนกกลิ่นน้ำมันหอมระเหยแท้ออกจากน้ำมันหอมระเหยสังเคราะห์ สามารถแยกแยะสีของน้ำมันหอมระเหยแท้ได้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรับประกันได้ว่า เงินที่จ่ายไปนั้น สิ่งที่ได้กลับมาคือของแท้ 100% ที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ และถึงแม้ว่าผู้ขายจะมีเอกสารรับรอง มี COA หรือ GCMS ให้ ถ้าจะให้พูดไปก็เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียว ที่จะไปหาจากที่ไหนก็ได้ วิธีการเดียวที่จะทดสอบว่าของที่ซื้อนั้นเป็นของแท้ 100% หรือไม่ก็คือการนำน้ำมันหอมระเหยที่ซื้อมาไปทดสอบ แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะคงไม่มีใครนำน้ำมันหอมระเหยราคาขวดละไม่กี่ร้อยบาทไปทำการทดสอบที่ต้องจ่ายเงินหลายพันบาท เพียงเพื่อต้องการรู้ว่าเป็นของแท้หรือไม่ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยแท้ 100% ให้ได้ของดีที่มีคุณภาพแน่นอน ตรงกับความต้องการของคุณและคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป ไม่ใช่เอกสารรับรองหรือความหลากหลายของสินค้า แต่คือการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยกับผู้ขายที่มีความซื่อสัตย์ในคุณภาพของน้ำมันหอมระเหย และมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องน้ำมันหอมระเหย นี่คือ 2 สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยจากผู้จำหน่ายแต่ละราย
![การซื้อน้ำมันหอมระเหยจากผู้ขายที่มีความรู้](../../images/diff_benefits.jpg)
1. การซื้อน้ำมันหอมระเหยจากผู้ขายที่มีความรู้
สาเหตุที่ผู้ซื้อน้ำมันหอมระเหยจากแหล่งที่มีความรู้ความเข้าใจในตัวน้ำมันหอมระเหย เนื่องจากคุณสมบัติที่แท้จริงของน้ำมันหอมระเหยแท้ 100% จากธรรมชาติ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าน้ำมันหอมระเหยชนิดนั้น ๆ ชื่ออะไร คืออะไร สายพันธ์ไหน แต่ว่าคุณสมบัตินั้น อยู่ที่องค์ประกอบตามธรรมชาติของน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ ตามตัวอย่างข้างบน เราขอยกตัวอย่างน้ำมันหอมระเหยมา 2 ชนิดที่คุณคงรู้จักดี คือโรสแมรี่ และลาเวนเดอร์
ตัวอย่างที่ 1: โรสแมรี่ของ BOTANICESSENCE เป็นโรสแมรี่สายพันธ์เดียวกัน คือ Rosmarinus officinalis แต่ว่ามี Chemotype หรือองค์ประกอบทางเคมีของสารธรรมชาติที่แตกต่างกัน นั่นคือ Rosemary Tunisia (Rosmarinus officinalis ct. cineole) มีสารประกอบหลักคือ 1,8 Cineole เป็นสารที่อยู่ในกลุ่มของ Oxide มีกลิ่นสดชื่น ทำให้ Rosemary ตัวนี้ มีคุณสมบัติที่ดีกับระบบทางเดินหายใจ ช่วยกระตุ้นให้รู้สึกสดชื่นตื่นตัวตามคุณสมบัติของสารประกอบหลักที่มีอยู่ในปริมาณมาก และอีกตัวถัดมาคือ Rosemary French (Rosmarinus officinalis ct. verbenone) คือโรสแมรี่ที่มีสาร Verbenone ที่เป็นสารที่อยู่ในกลุ่ม Ketone อยู่ในปริมาณมาก แต่มี 1,8 Cineole อยู่ในปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับ Rosemary Tunesia ทำให้ Rosemary Verbenone ตัวนี้มีกลิ่นที่ออกไปในแนวสมุนไพรนุ่ม ๆ มากกว่าที่จะให้กลิ่นสดชื่น และมีคุณสมบัติในการรักษาผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ เหมาะสำหรับใช้ในการรักษาแผลสด หรือช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น จะเห็นได้ว่า ถึงแม้จะเป็นน้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่เหมือนกัน สายพันธ์เดียวกัน แต่องค์ประกอบทางเคมีของสารประกอบที่แตกต่างกัน ก็ทำให้คุณสมบัติในการนำไปใช้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตัวอย่างที่ 2: คือน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์และลาเวนดิน นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ยังมีความสับสนเข้าใจผิดอยู่อย่างมาก ผู้ซื้อมักจะเห็นน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ขายในราคาถูก ๆ ตามท้องตลาด แต่อาจไม่ทราบว่าบนฉลากที่เขียนว่าน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์นั้น อาจจะเป็นน้ำมันหอมระเหยลาเวนดินก็ได้ ไม่ใช่ว่าน้ำมันหอมระเหยลาเวนดินไม่ดี เพียงแต่ว่าน้ำมันหอมระเหยลาเวนดิน มีราคาที่ถูกกว่าน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์อย่างมาก เพราะลาเวนดินให้ปริมาณผลผลิตต่อวัตถุดิบมากกว่าลาเวนเดอร์ถึงกว่า 3 เท่า และทีปัญหาที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือคุณสมบัติที่แตกต่างกันซึ่งไม่ให้ผลดีหากนำไปใช้สลับกันโดยความเข้าใจผิด ๆ
Specification ของลาเวนเดอร์ที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพดีมาก และการเปรียบเทียบกับลาเวนดิน
ชื่อสารประกอบตามธรรมชาติ |
Min % |
Max % |
Linalyl acetate |
25 |
46 |
Linalol |
25 |
38 |
Terpine-4-ol |
2 |
6 |
Lavandulyl acetate |
2 |
* |
Lavandulol |
0.3 |
* |
Alpha Terpineol |
* |
1 |
1,8-Cineole |
* |
1 |
Camphor |
* |
0.5 |
|
|
Lavender |
Lavandin |
32.18 |
28.75 |
30.50 |
35.21 |
5.57 |
3.73 |
3.12 |
2.20 |
0.64 |
0.92 |
1.63 |
0.92 |
0.81 |
4.56 |
0.30 |
6.98 |
|
ถึงแม้ว่าจะเป็นน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์แท้จริง ๆ ก็ต้องดูด้วยว่า ปริมาณของสารสำคัญและสารต้องห้ามนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ กล่าวคือ ตามที่เราทราบกันดีว่าน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติในการช่วยให้ผ่อนคลายและรักษาผิวจากแผลสด แผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก นั่นเพราะคุณสมบัติของสารสำคัญที่มีอยู่ในปริมาณมาก แต่ว่าเนื่องจากสารอีกตัวหนึ่งคือ Camphor และ 1,8-Cineole มีอยู่ในน้ำมันหอมระเหย Lavandin อยู่ในปริมาณมาก (ประมาณ 8-15%) แต่มีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลยในน้ำมันหอมระเหย Lavender โดยสารทั้ง 2 ชนิดนี้อาจทำให้อาการอักเสบของแผลสดหรือผิวหนังลุกลามได้ ดังนั้นการใช้น้ำมันหอมระเหย Lavandin โดยเข้าใจผิดว่าเป็น Lavender นอกจากจะไม่ช่วยรักษาแผลหรือลดอาการอักเสบแล้ว คุณสมบัติในการบำรุงรักษาผิวจากการอาการต่าง ๆ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นก็มีประสิทธิภาพด้อยกว่าน้ำมันหอมระเหย Lavender อย่างชัดเจน ร้ายไปกว่านั้น การนำไปใช้ผิดวิธีก็อาจทำให้การอักเสบเกิดการลุกลามได้ ทำให้ผู้ใช้ที่นำ Lavandin ไปใช้โดยเข้าใจว่าเป็น Lavender แล้วพอเกิดปัญหาขึ้น หรือประสิทธิภาพไม่ดีชัดเจน ก็ไปเข้าใจไปผิด ๆ ว่า Lavender ไม่ได้ดีอย่างที่คุณสมบัติแจ้งไว้ เพราะจริง ๆ แล้วน้ำมันหอมระเหย Lavandin เหมาะสำหรับปัญหาอาการหวัดคัดจมูก หรือนำไปเป็นสเปรย์ปรับอากาศมากกว่าที่จะนำไปบำรุงผิวหรือรักษาแผล
แม้แต่การทดสอบน้ำมันหอมระเหย Lavender หากพบว่ามีสารสำคัญ Linalyl acetate ที่มากผิดปกติ (มากกว่า 45%) ก็อาจมองได้ว่าน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์นั้น มีการเติมสาร Linalyl acetate สังเคราะห์เข้าไปเพื่อหลอกลวงให้น้ำมันหอมระเหยดูมีคุณภาพดีก็ได้ หากจะให้พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์แล้วคงอธิบายมากกว่านี้ได้อีกหลายหน้า ไม่ว่าจะเป็นการกำหนด Maximum percentage ของสารสำคัญ เช่น Linalyl acetate กับสาร Linalol ที่รวมกันแล้วไม่ควรเกิน 80% หรือสาร Camphor ที่ควรมีไม่เกิน 0.50% หรือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เพียงแค่ข้อมูลเท่านี้ ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ผู้ซื้อเข้าใจได้ว่า การซื้อน้ำมันหอมระเหยกับผู้ขายที่มีความรู้ความเข้าใจในตัวน้ำมันหอมระเหยนั้น มีความสำคัญมากเพียงไร อย่าลืมว่า Lavender (Lavandula angustifolia) มีราคาแพง เหมาะสำหรับใช้ผ่อนคลาย บำรุงผิว รักษาแผลสด แผลไฟไหม้ แต่ Lavandin (Lavandula hybrida grosso) และ Lavender Spike (Lavandula latifolia) นั้นมีคุณสมบัติแตกต่างออกไป ช่วยให้สดชื่น บรรเทาอาการหวัด คัดจมูก จึงเหมาะใช้ทำสเปรย์หอมเสียมากกว่า ไม่เหมาะกับการนำไปบำรุงผิว หรือรักษาแผลทุกชนิด
![ความน่าเชื่อถือของผู้ขายน้ำมันหอมระเหย](../../images/trust.jpg)
2. การซื้อน้ำมันหอมระเหยจากผู้ขายที่เชื่อถือได้
สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่าการซื้อน้ำมันหอมระเหยจากผู้ขายที่มีความรู้ คือการซื้อจากผู้ขายที่เชื่อถือได้ว่าขายของดีมีคุณภาพและเป็นของแท้ 100% ให้กับผู้ซื้อจริง ๆ เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยสามารถถูกเจือจางได้ง่าย ตรวจสอบยากและไม่คุ้มค่าที่จะทำ ทำให้การซื้อน้ำมันหอมระเหยจากผู้ขายที่เชื่อถือได้นั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ เพราะว่าถึงแม้ว่าคุณจะซื้อน้ำมันหอมระเหยบางตัวได้ในราคาถูกกว่า แต่หากน้ำมันหอมระเหยนั้นมีการเจือปน หรือไม่ใช่ของแท้ 100% แล้ว ก็จะกลายเป็นว่า เงินที่ถูกกว่าที่คุณจ่ายไปนั้น นอกจากไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย ซ้ำร้ายการใช้น้ำมันหอมระเหยที่คุณภาพไม่ดียิ่งจะทำให้ร่างกายแย่ลงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหอมระเหยแท้ที่เกรดไม่ดี น้ำมันหอมระเหยที่เอาของถูกมาเจือปนกับของแพง หรือที่แย่สุดคือการนำสารเคมีสังเคราะห์บางชนิด เช่น Propylene glycol หรือ White Oil มาเจือปนในน้ำมันหอมระเหยเพื่อลดต้นทุน เป็นต้น
ตามตัวอย่างบนตารางที่ยกมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า น้ำมันหอมระเหย Citronella ซึ่งมีราคาถูกมาก ๆ กิโลกรัมละหลักพันต้น ๆ มีสารประกอบหลักที่เป็นสารชนิดเดียวกับที่มีในน้ำมันหอมระเหย Palmarosa, Geranium ที่มีราคาแพง และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ Rose Otto ที่มีราคาแพงมาก ๆ ถึงแพงที่สุด ดังนั้น หากมีผู้ขายรายใดที่ขาดจรรยาบรรณ นำน้ำมันหอมระเหยที่มีราคาถูกเหล่านี้มาเจือปนในน้ำมันหอมระเหยที่มีราคาแพงเพื่อลดต้นทุน การตรวจสอบด้วยเครื่อง GCMS ถึงแม้ว่าจะตรวจสอบได้ แต่หากปริมาณสารที่เจือปนไปนั้นอยู่ใน Specification ก็สามารถพอที่จะหลอกผู้วิเคราะห์ได้ว่าน้ำมันหอมระเหยที่เอามาทดสอบนั้น เป็นน้ำมันหอมระเหยที่สกัดมาจากพืชที่มีราคาแพง 100% ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาจจะมีการเติมแต่งน้ำมันหอมระเหยถูก ๆ ลงไปก็ได้ ดังนั้น การซื้อน้ำมันหอมระเหยที่ควรจะมีราคาแพงในราคาที่ถูกเกินจริง ขอให้นึกถึงข้อนี้ไว้ว่าเงินที่จ่ายไปถูก ๆ นั้น จริง ๆ แล้วอาจจะกลายเป็นแพงเสียยิ่งกว่าซื้อของแท้และดีจากผู้ขายที่เชื่อถือได้ก็ได้ และจะยิ่งแย่ไปกว่านั้นหากสารที่นำมาเจือจางในน้ำมันหอมระเหยนั้นเป็น Propylene glycol หรือ White Oil ด้วยคุณสมบัติใสไม่มีสีไม่มีกลิ่น เพราะทั้ง 2 ตัวเป็นสารเคมีสังเคราะห์ และสารปิโตรเลียม
![น้ำมันหอมระเหย](../../images/logo_small.jpg)
BOTANICESSENCE เป็นผู้จำหน่ายน้ำมันหอมระเหยที่มีประสบการณ์กว่า 8 ปี ในการเลือกนำเข้าน้ำมันหอมระเหยแท้ 100% โดยตรงจากแหล่งกำเนิดทั่วโลก ปลูกและสกัดโดยผู้ผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานที่เชื่อถือได้ เช่น ลาเวนเดอร์และอิมมอคแทลจากฝรั่งเศส คาโมมายล์จากอังกฤษ กุหลาบจากบัลแกเรีย ทีทรีจากออสเตรเลีย แฟรงคินเซนส์และเมอร์จากแอฟริกา้ กระดังงาจากมาดากัสการ์ เครื่องเทศจากอินโดนีเซีย สมุนไพรจากไทย น้ำมันไม้จันทน์หอมจากอินเดีย และดอกจำปีจากจีน ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้ว่า น้ำมันหอมระเหยที่คุณซื้อจากเราไปนั้น เป็นน้ำมันหอมระเหยแท้คุณภาพดีที่สกัดจากพืชชนิดนั้น ๆ จริง ๆ ปราศจากการเจือปน มีความเป็นธรรมชาติ 100% และมีคุณสมบัติตามข้อมูลที่ให้ไว้อย่างแน่นอน
|
|
|
มีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องใช้น้ำมันหอมระเหยของแท้ทั้ง ๆ ที่สามารถซื้อน้ำหอมธรรมดาในราคาที่ถูกกว่ามาก |
|
|
การเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหย หากผู้ซื้อต้องการเพียงสร้างกลิ่นหอมให้ถูกใจ นาน ๆ ใช้ที ก็อาจซื้อน้ำหอมทั่วไปที่สังเคราะห์มาจากสารเคมี 100% หรือเลือกซื้อน้ำหอมผสมซึ่งอาจมีน้ำมันหอมระเหย อยู่ในปริมาณไม่เกิน 20% ผสมกับกลิ่นสังเคราะห์ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินได้มากกว่า และแน่นอนกว่าน้ำหอมเหล่านี้จะมีกลิ่นหอมที่ถูกใจผู้ใช้มากกว่ากลิ่นของน้ำมันหอมระเหยแท้ ที่เป็นกลิ่นหอมที่เกิดจากการกลั่นน้ำมันหอมระเหยจากพืชธรรมชาติโดยไม่ผ่านการปรุงแต่ง แต่ถ้าหากผู้ซื้อต้องการซื้อเพื่อผลทางด้านการฟื้นฟูร่างกาย ปรับสภาพจิตใจ การบำบัดรักษาแบบทางเลือก หรือเพื่อสุขภาพ และไม่เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของระบบทางเดินหายใจที่เป็นความแตกต่างข้อใหญ่ของน้ำมันหอมระเหยแท้บริสุทธิ์กับของสังเคราะห์ นอกเหนือไปจากความหอมแบบธรรมชาติที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยแท้แล้ว การจ่ายมากกว่าเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ควรจะทำมากกว่า ผลของความแตกต่างระหว่าง "สิ่งที่ได้จากธรรมชาติ" และ "สิ่งที่สังเคราะห์" ขึ้นมานั้น อาจจะต้องชี้วัดด้วยสุขภาพของผู้ใช้เลยทีเดียว
โดยธรรมชาติแล้ว ผู้หญิงจะชอบกลิ่นหอมที่ออกในแนวของดอกไม้หรือส้ม ซึ่งน้ำมันหอมระเหยแท้ที่ได้จากการกลั่นส่วนดอกนั้นมีเพียงไม่กี่ชนิด เช่น Lavender, Jasmine, Rosemary, Neroli (Orange Blossom) หรือกลิ่นที่ให้ความรู้สึกหอมหวาน เช่น Orange, Grapefruit แต่น้ำมันหอมระเหยแท้ที่มีคุณสมบัติที่ดีสำหรับผู้หญิงเช่น Marjoram, Clary Sage, Yarrow, Geranium, Cypress, Blackpepper นั้นหลาย ๆ ตัวมีกลิ่นที่หลาย ๆ คนอาจไม่ชอบ แต่กลับมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่งหากนำไปใช้อย่างถูกวิธี เราอยากแนะนำให้ผู้ซื้อทุกท่านทราบว่า เหตุผลในการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยแท้เพื่อนำไปใช้นั้น ควรให้ความสำคัญกับเรื่องของธรรมชาติบำบัดที่ได้จากคุณสมบัติของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด ไม่น้อยไปกว่าความถูกใจหรือพึงพอใจในกลิ่นของน้ำมันหอมระเหย
อ่านข้อมูลความแตกต่างระหว่างน้ำมันหอมระเหย และน้ำมันหอมสังเคราะห์ [คลิ๊กที่นี่]
|
|
|
ทางเวบไซท์มีหน้าร้านที่ผู้ซื้อสามารถแวะไปเยี่ยมชมหรือไม่ |
|
|
เพื่อให้เราสามารถจำหน่ายน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพดีที่สุดที่ผู้ซื้อจะหาได้ในประเทศไทย และคุณสามารถซื้อสินค้าที่ มีคุณภาพดีที่สุด ได้ในราคาที่แทบจะเรียกได้ว่า ถูกที่สุด สำหรับคุณภาพในระดับนี้ เราจึงใช้ช่องทางการขายบนเวบไซท์ เพื่อประหยัดต้นทุนที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ เช่น ร้านค้า พนักงาน และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่า น้ำมันหอมระเหยของเราที่จำหน่ายบนเวบไซท์นั้น มีราคาที่ถูกมาก ในขณะที่เราสามารถรับประกันได้ว่าคุณภาพของน้ำมันหอมระเหยทุึกขวด เป็นน้ำมันหอมระเหยเกรดพรีเมี่ยม ที่มาจากผู้ผลิตคุณภาพทั่วโลกที่เราคัดสรรมาอย่างดีแล้วเท่านั้น เพื่อคุณภาพในเชิง Aromatherapy แบบธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพที่สุด
แต่เนื่องจากมีความต้องการจากผู้ซื้อจำนวนมากที่ต้องการทดสอบน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่กว่า 100 ชนิดก่อนซื้อ หรือบางท่านที่ไม่สะดวกที่จะสั่งทางเวบไซท์เพื่อจัดส่งทางไปรษณีย์ ทางเราได้เล็งเห็นถึงปัญหาความไม่สะดวกของหลาย ๆ ท่านในจุดนี้ จึงตัดสินใจวางขายน้ำมันหอมระเหย BOTANICESSENCE และมีตัวอย่างให้ทดลองกลิ่นก่อนซื้อในร้านของเราที่ตั้งอยู่ที่ M-Square Plaza ชั้นใต้ดิน B1 อาคารมาลีนนท์ (ช่อง 3) ถนนพระราม 4 กรุงเทพมหานคร (เปิดทุกวันจันทร์-เสาร์ เวลา 10:00-17:30 น.) ผู้ที่สนใจที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงหรือสามารถเดินทางไปได้สะดวก สามารถทดลองน้ำมันหอมระเหยและซื้อได้จากที่ร้านนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ น้ำมันหอมระเหยที่วางขายในร้านจะจำกัดขนาดที่ 10 ml. เท่านั้น หรือจะเป็นขนาด 5 ml. สำหรับชนิดที่มีราคาแพง และขนาด 100 ml. สำหรับกลิ่นที่เป็นที่นิยม ท่านสามารถติดต่อก่อนเข้าร้านได้ที่หมายเลข 092-932-3244 (คุณเก่ง) หรือ 081-354-3664 (คุณนัท) ได้ตลอดเวลา
ในเรื่องของข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหย ผู้ซื้อสามารถดูข้อมูลน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดได้ในเวบไซท์ ซึ่งเราเชื่อว่าได้ให้ข้อมูลภาษาไทยที่เป็นประโยชน์มากเพียงพอต่อการตัดสินใจ หรือหากต้องการติดต่อเพื่อนัดหมายหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือทดลองตัวอย่าง สามารถติดต่อได้ที่ botanicessence@yahoo.com หรือที่หมายเลข 081-354-3664 (คุณนัท) เพื่อพูดคุยหรือนัดพบที่ร้านของเราได้หากท่านสะดวก
เนื่องจากนโยบายในการจำหน่ายคือต้องการนำเสนอน้ำมันหอมระเหยแท้คุณภาพสูงในราคาที่พอใจแก่ผู้ซื้อ โดยเน้นไปที่ผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป เราจึงจำกัดขนาดสูงสุดไว้ที่ขวดขนาด 1000 ml เท่านั้น ท่านที่สนใจจะสั่งซื้อเป็นแบบ wholesale (ขนาด 1000 ml ขึ้นไป) หรือขนาด 5ml, 10ml, 30ml, 100ml ในปริมาณมากเพื่อนำไปใช้ตามความต้องการต่าง ๆ ให้ติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ที่ให้ไว้
|
|
|
ทำไมถึงสามารถขายน้ำมันหอมระเหยแท้ได้ในราคาถูกกว่าราคาของผู้ขายอื่น ๆ ทั่วไป |
|
|
5 เหตุผลที่ BOTANICESSENCE ขายน้ำมันหอมระเหยเกรดดีที่สุดในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันทั่วโลก
1. เราสั่งซื้อน้ำมันหอมระเหยคุณภาพดีโดยตรงจากแหล่งผลิตที่ดีที่สุดทั่วโลก
2. เราจำหน่ายน้ำมันหอมระเหยสู่ผู้บริโภคโดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง จึงหมดปัญหาเรื่องการตั้งราคาเผื่อส่วนแบ่งรายได้
3. เรามีระบบควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ มีจำนวนต่ำมาก
4. เรามุ่งเน้นตลาดในประเทศไทยและเพื่อนบ้าน เราจึงตั้งราคาที่เหมาะสม ไม่แพงเกินไปเหมือนในตลาดอเมริกาหรือยุโรปที่มีกำลังซื้อมากกว่า
5. เราไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับคุณภาพสินค้า เช่น ค่าคอมมิชชั่น ค่าโฆษณาการตลาดที่แพงเกินไป หรือค่าจ้างแสดงสินค้า
เรามีประสบการณ์ในด้านการจัดหาแหล่งผู้ผลิตน้ำมันหอมระเหยแท้ทั้งในและนอกประเทศมาเป็นเวลากว่า 15 ปี และมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ผลิตในแต่ละประเทศทั่วโลก จึงทำให้เราสามารถจัดซื้อและนำเข้าน้ำมันหอมระเหยแท้ที่มีคุณภาพลำดับต้น ๆ ของโลกได้จากผู้ผลิตโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศ ฝรั่งเศส อังกฤษ และอื่น ๆ ในแถบยุโรป ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย อินเดีย แอฟริกา หรือในประเทศไทย อีกทั้งในส่วนของการขายน้ำมันหอมระเหยผ่านทางเวบไซท์โดยตรงจากเราเอง ทำให้เราได้ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ ออกไปเช่น ส่วนแบ่งรายได้ในการขายบนห้าง ซึ่งจะเป็นต้นทุนกว่า 30-50% ของราคาขายที่ผู้ขายทั่วไปจะต้องแบ่งให้กับทางห้างสรรพสินค้า หรือต้นทุนค่าเช่าร้าน ค่าพนักงาน ค่าน้ำไฟและอื่น ๆ ซึ่งต้นทุนส่วนนี้ได้ถูกบวกเพิ่มเข้าไปในราคาสินค้า ทำให้ต้องมีราคาแพงอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งเรานำเข้าน้ำมันหอมระเหยมาในปริมาณที่มาก ทำให้สามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกลง น้ำมันหอมระเหยที่นำเข้ามาส่วนหนึ่งเรานำไปใช้ในไลน์ธุรกิจอื่นของเรา และส่วนหนึ่งเรานำมาแบ่งจำหน่ายปลีกย่อยแก่ผู้ที่สนใจ ทำให้เราไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการจัดการสินค้าคงเหลือ และเป็นความต้องการของผู้ขายโดยตรง ที่อยากให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปอย่างที่เห็น ๆ ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงสามารถจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพในระดับแนวหน้าได้ ในราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของทุก ๆ คน
เนื่องจากเหตุผลในด้านราคาขายที่ถูก และต้นทุนการจัดการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นในด้านค่าแรงของพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางจัดส่งที่เป็นต้นทุนของเรานอกเหนือจากค่าไปรษณีย์ที่ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบ จึงขอสงวนสิทธิ์ในการสั่งซื้อบนระบบ Online โดยผู้ซื้อจะสามารถส่งคำสั่งซื้อได้เฉพาะสำหรับยอดสั่งซื้อในประเทศที่เกินกว่า 300 บาท และยอดสั่งซื้อต่างประเทศที่เกิน 500 บาทเท่านั้น ท่านที่ต้องการซื้อในยอดสั่งซื้อที่น้อยกว่าที่กำหนด กรุณาติดต่อฝ่ายขายโดยตรงทาง Line: @botanicessence
|
|
|
ผู้ซื้อสามารถชำระค่าสินค้าด้วยวิธีใดได้บ้าง |
|
|
ผู้ซื้อสามารถชำระเงินได้ตามวิธีด้านล่างแล้วแต่ความสะดวก
- โอนเงินผ่านทางธนาคาร, ตู้ ATM หรือ Internet Banking (สำหรับยอดสั่งซื้อปกติที่กำหนดขั้นต่ำ 300 บาท)
- ชำระเงินด้วยบัญชี PayPal หรือบัตรเครดิตผ่าน Payment Gateway ของ PayPal เป็นสกุลเงินบาท (ระงับการให้บริการชั่วคราว)
ข้อมูลในการสั่งซื้อของลูกค้าทุกท่านไม่ว่าจะเป็น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ หรือ e-mail หลังจากสั่งซื้อและจัดส่งเสร็จสิ้นแล้วจะถูกเก็บไว้เป็นความลับหรือจะลบทิ้งออกจากระบบตามการร้องขอ ไม่มีการนำมาใช้เพื่อหาประโยชน์ในทางอื่น ๆ อย่างเด็ดขาด ส่วนข้อมูลบัญชีธนาคารของทางเวบไซท์สำหรับให้ผู้ซื้อโอนเงินชำระค่าสินค้า จะแสดงขึ้นมาหลังจากขั้นตอนการยืนยันคำสั่งซื้อ โดยเราขอความร่วมมือผู้ซื้อหลังการสั่งซื้อเสร็จสิ้นแล้ว ให้ยืนยันการชำระเงินในระบบบนเวบไซท์ และเก็บหลักฐานการชำระเงินทั้งหมดไว้จนกว่าจะได้รับสินค้า ผู้ซื้อสามารถติดตามและตรวจสอบสถานะการสั่งซื้อตั้งแต่ส่งคำสั่งซื้อ ตรวจสอบเลข Tracking Number จนถึงขั้นตอนสินค้าจัดส่งเรียบร้อยได้จากระบบในเวบไซท์
|
|
|
หลังจากผู้ซื้อได้โอนเงินค่าสินค้าแล้ว ของจะถูกส่งภายในกี่วัน |
|
|
เมื่อได้รับการยืนยันชำระเงินแล้ว เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า เราจะทำการจัดส่งของให้เร็วที่สุด แต่ในกรณีที่มีรายการสั่งซื้ออยู่ในคิวเป็นจำนวนมาก ทุกรายการสั่งซื้อจะถูกการันตีให้จัดเตรียมภายในเวลาไม่เกิน 3-5 วันทำการเนื่องจากสินค้าของเราเป็นแบบผลิตตามคำสั่งซื้อเท่านั้น และพัสดุไปรษณีย์จะถูกส่งโดยไปรษณีย์ไทย หรือผู้ให้บริการอื่นตามแต่ลูกค้าจะร้องขอมา โดยใช้เวลาในการจัดส่งถึงที่หมายด้วยพัสดุลงทะเบียนประมาณ 2-5 วันทำการของไปรษณีย์นับจากวันที่เข้าระบบของไปรษณีย์ไทย วันจัดส่งมาตรฐานของเราคือ จัดส่งทุกเย็นวันจันทร์ พุธ และศุกร์ หรือภายในเช้าวันถัดไป ยกเว้นวันหยุดราชการ ดังนั้น นับจากเวลาที่ยืนยันการชำระเงิน สินค้าจะถูกจัดเตรียมและส่งถึงมือผู้ซื้อโดยเร็วที่สุด และควรจะได้รับช้าที่สุดภายในเวลาไม่เกิน 5-10 วันทำการโดยประมาณ ซึ่งผู้ซื้อสามารถดูสถานะของคำสั่งซื้อได้ในระบบของเวบไซท์ในหน้าของรายการสถานะสั่งซื้อ [คลิ๊กที่นี่] ทั้งนี้ ผู้ซื้อต้อง Login เข้าสู่ระบบทุกครั้งก่อนที่จะดูสถานะสั่งซื้อได้
ในปัจจุบันได้มีผู้ซื้อบางท่านที่ต้องการสินค้าแบบเร่งด่วน ซึ่งเราก็มีบริการหลากหลายระดับให้เลือกตามนี้
- ไปรษณีย์ลงทะเบียน
- ค่าจัดส่งอัตราปกติ โดยไปรษณีย์ไทย
- ส่งสินค้าออกจากเราภายใน 3-5 วันทำการ ถึงที่อยู่จัดส่งภายใน 2-5 วันทำการ หรือตามมาตรฐานไปรษณีย์ลงทะเบียน โดยไปรษณีย์ไทย
- Tracking Number สามารถเช็ควันที่ส่งของได้ และสถานะจะ Update อีกครั้งเมื่อของถึงไปรษณีย์ปลายทาง (ไม่มีการ Update ระหว่างทาง)
- รวมเวลาตั้งแต่ยืนยันการชำระเงินจนถึงจัดส่งถึงที่หมาย 5-10 วันทำการ โดยประมาณ
- ชำระค่าจัดส่งหรือรับข้อเสนอพิเศษจากทางเราในเงื่อนไขปกติ
- [ย้อนกลับไปหน้าสั่งสินค้า]
- ไปรษณีย์ EMS
- ค่าจัดส่งอัตรา EMS โดยไปรษณีย์ไทย
- ส่งสินค้าออกจากเราภายใน 3-5 วันทำการ ถึงที่อยู่จัดส่งภายใน 1-3 วันทำการ หรือตามมาตรฐาน EMS โดยไปรษณีย์ไทย
- Tracking Number สามารถเช็ควันที่ส่งของได้ สถานะจะ Update ตลอดทางที่ถึงศูนย์ไปรษณีย์แต่ละแห่ง
- รวมเวลาตั้งแต่ยืนยันการชำระเงินจนถึงจัดส่งถึงที่หมาย 4-8 วันทำการ โดยประมาณ
- ชำระค่าจัดส่งหรือรับข้อเสนอพิเศษจากทางเราในเงื่อนไขปกติ บวกกับอัตราค่าบริการเพิ่มเติมเริ่มต้น 20 บาท
- [ย้อนกลับไปหน้าสั่งสินค้า]
- ส่งด่วนวันถัดไป ด้วยไปรษณีย์ EMS
- ค่าจัดส่งอัตรา EMS โดยไปรษณีย์ไทย
- การันตีส่งสินค้าออกจากเราภายในวันทำการถัดไป หลังจากยืนยันการชำระเงิน (วันทำการคือ จันทร์-ศุกร์ เวลา 12:00 - 19:30 น.)
- ถึงที่อยู่จัดส่งภายใน 1-3 วันทำการ หรือตามมาตรฐาน EMS โดยไปรษณีย์ไทย
- Tracking Number สามารถเช็ควันที่ส่งของได้ สถานะจะ Update ตลอดทางที่ถึงศูนย์ไปรษณีย์แต่ละแห่ง
- รวมเวลาตั้งแต่ยืนยันการชำระเงินจนถึงจัดส่งถึงที่หมาย 2-4 วันทำการ โดยประมาณ
- ชำระค่าจัดส่งหรือรับข้อเสนอพิเศษจากทางเราในเงื่อนไขปกติ บวกกับอัตราค่าบริการเพิ่มเติมเริ่มต้น 70 บาท
- บริการ EMS ส่งด่วนวันถัดไป สำหรับ Order ที่สั่งในวันจันทร์และพุธ จากส่งวันถัดไป จะเปลี่ยนเป็น 2 วันถัดไป คือจัดส่งภายในวันพุธ และ ศุกร์
- [ย้อนกลับไปหน้าสั่งสินค้า]
- FedEx หรือ DHL (ต่างประเทศเท่านั้น)
- ค่าจัดส่งตามอัตราของผู้ให้บริการ
- ขนาดที่แนะนำคือ 8 kg ขึ้นไป แต่หากไม่มีปัญหาเรื่องค่าจัดส่งที่ค่อนข้างราคาสูงมากสำหรับพัสดุขนาดเล็ก สามารถใช้บริการได้ตามต้องการ
- ถึงที่อยู่จัดส่งภายใน 4-8 วันทำการ ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ
- Tracking Number สามารถเช็คสถานะได้ตลอดเวลาบนเวบไซท์ของ FedEx หรือ DHL
- [ย้อนกลับไปหน้าสั่งสินค้า]
- มารับสินค้าเองที่ร้าน
- ต้องสั่งสินค้าบนเวบไซท์แล้วโอนชำระเงินเรียบร้อยแล้วเท่านั้น
- หากชำระเงินเรียบร้อยแล้ว สามารถนัดวันหรือมารับได้ หลังจากชำระเงินแล้ว 3 วันทำการ
- หากไปที่ร้านโดยไม่มีการชำระเงินให้เรียบร้อย จะสามารถซื้อสินค้าได้เฉพาะที่มีจำหน่ายอยู่ในร้านเท่านั้น [อ่านรายละเอียดที่นี่]
- [ย้อนกลับไปหน้าสั่งสินค้า]
|
|
|
ค่าใช้จ่ายในการขนส่งมีการคิดคำนวณอย่างไร |
|
|
![ThailandPost](../../images/thaipost.jpg) การเสนอค่าขนส่งฟรีแก่ผู้ซื้อ ส่วนมากเป็นเพราะต้นทุนทางด้านขนส่งได้ถูกรวมไปในราคาสินค้าแล้ว แต่เรามีนโนบายที่จะไม่รวมต้นทุนใด ๆ ที่ไม่จำเป็นเข้าไปในราคาของสินค้าของเรา ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ซื้อที่มารับสินค้าด้วยตัวเองหรือมาซื้อที่ร้านโดยตรง ดังนั้น ค่าขนส่งของเราจะคำนวณจากค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดส่ง รวมกับอัตราค่าบริการเรียกเก็บจากผู้ให้บริการขนส่งโดยตรง เช่น ไปรษณีย์ไทย สำหรับการขนส่งในประเทศ และ FedEx หรือ DHL สำหรับการส่งของออกนอกประเทศ การคำนวณค่าจัดส่งใช้วิธีคิดค่าจัดส่งตามจริงโดยเริ่มต้นขั้นต่ำที่ 50 บาทต่อรายการสั่งซื้อสำหรับไปรษณีย์ลงทะเบียนในประเทศ และ 70 บาทสำหรับบริการ EMS เรามีความยินดีที่จะจัดส่งภายในประเทศให้ฟรีแก่รายการสั่งซื้อที่มียอดการสั่งซื้อมากกว่า 2,000 บาท ขึ้นไปต่อครั้ง ยกเว้นหากในรายการสั่งซื้อมีสินค้าที่มีขนาดบรรจุ 200 ml ขึ้นไป ค่าจัดส่งจะคิดตามจริงหรืออาจมีส่วนลดให้ตามความเหมาะสม โดยคำนวณจากน้ำหนักของสินค้าที่สั่งเทียบกับค่าจัดส่งที่คำนวณได้ และจะจัดส่งฟรีในทุกกรณีเมื่อมียอดการสั่งซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาทขึ้นไป (เฉพาะการจัดส่งในประเทศเท่านั้น) สำหรับรายการซื้อที่ส่งออกไปต่างประเทศ จะคิดอัตราค่าจัดส่งตามจริงหรืออาจมีโปรโมชั่นพิเศษตามโอกาสต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลและรายละเอียดจะขึ้นอัตโนมัติบนเวบไซท์ก่อนยืนยันชำระเงิน จึงขอให้ผู้ซื้อใส่ข้อมูลที่อยู่และโซนทวีปในขั้นตอนการลงทะเบียนให้ถูกต้อง
ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบค่าบริการขนส่งได้ที่ เวบไซท์ของไปรษณีย์ไทย
เราขอสงวนสิทธ์จัดส่งแบบพัสดุไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) สำหรับพัสดุที่มีน้ำหนักเกินกว่า 2,000 กรัมหรือมีมูลค่าเกินกว่า 10,000 บาท และไปรษณีย์ลงทะเบียนสำหรับน้ำหนักเบา เท่านั้น ด้วยเหตุผลทางด้านการรับประกันความปลอดภัยและการชดเชยความเสียหายให้สามารถจัดการได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย หรือพัสดุไปรษณีย์สูญหาย โดยเราจะส่งสินค้าให้ใหม่ทันทีในกรณีที่พัสดุไปรษณีย์สูญหาย โดยรอการตรวจสอบจากทางไปรษณีย์ไทย นานสุดไม่เกิน 7 วันเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของผู้ซื้อ
|
|
|
ผู้ขายสามารถส่งของไปยังที่อยู่ในต่างประเทศได้หรือไม่ ด้วยวิธีการใด |
|
|
เราสามารถส่งสินค้าไปยังที่อยู่ต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ค่าขนส่งจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักขนส่งและประเทศปลายทางตามอัตราค่าขนส่งที่ผู้ให้บริการ ขนส่งระหว่างประเทศกำหนด โดยปกติแล้ว สินค้าที่น้ำหนักอยู่ระหว่าง 0-2 กิโลกรัมจะส่งด้วยวิธีพัสดุย่อยทางอากาศลงทะเบียน ส่วนขนาด 2-8 กิโลกรัมจะส่งด้วยพัสดุไปรษณีย์ทางอากาศหรือ EMS และสินค้าที่น้ำหนักระหว่าง 8-40 กิโลกรัม การส่งด้วย FedEx หรือ DHL ก็จะคุ้มค่าที่สุด
|
|
|
มีการรับประกันความเสียหายที่เกิดจากการขนส่ง หรือหายระหว่างทางหรือไม่ |
|
|
ด้วยเหตุที่พัสดุทั้งหมดจะถูกจัดส่งด้วยไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือทางไปรษณีย์ EMS เราจึงสามารถรับประกันความเสียหายของสินค้าที่ส่ง โดยการส่งสินค้าไปให้ใหม่ตรงกับรายการที่ผู้ซื้อได้สั่งไว้หากเกิดเหตุผู้ซื้อไม่ได้รับสินค้าหรือมีความเสียหายระหว่างทางเกิดขึ้น ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือจากผู้ซื้อให้ตรวจเช็คสภาพพัสดุทันที ที่ได้รับจากพนักงานจัดส่ง และหากเกิดความเสียหายขึ้น ให้แจ้งความเสียหายกับทางผู้จัดส่งและติดต่อเราทันทีที่ได้รับสินค้า หรือไม่เกิน 3 วัน โดยทางเราจะต้องขอเวลาตรวจสอบเพื่อยืนยันกับทางผู้จัดส่งให้แน่ใจว่า เป็นการเสียหายหรือสูญหายที่เกิดขึ้นระหว่างการขนส่งจริง โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ในการตรวจสอบ (ถึงแม้ว่ากระบวนการตรวจสอบของไปรษณีย์ไทยจะใช้เวลามากกว่านั้น) และจะจัดส่งสินค้าไปให้ใหม่ทันที โดยที่จะไม่มีการคิดค่าสินค้าหรือค่าดำเนินการจัดส่งใด ๆ เพิ่มเติมกับทางผู้ซื้ออีก
|
|
|
นอกเหนือจากสินค้าที่ขายแล้ว ทางผู้ขายมีบริการหลังการขายหรือคำแนะนำอื่นอย่างไร |
|
|
เราพยายามนำข้อมูลที่จำเป็น และเป็นประโยชน์ในการใช้น้ำมันหอมระเหยและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่จำหน่ายไว้บนเวบไซท์ให้ผู้ซื้อสามารถศึกษาได้ทันที แต่อย่างไรก็ดี หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ผู้ซื้อสามารถขอรับคำแนะนำหรือเอกสารการใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ของน้ำมันหอมระเหยได้ตามความต้องการที่ botanicessence@yahoo.com หรือหากต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการนำน้ำมันหอมระเหยไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ วิธีและปริมาณการใช้ที่ถูกต้องในแต่ละครั้ง สามารถโทรศัพท์มาได้ที่เบอร์ด้านล่าง ในเวลา 09:00 - 18:00 หรือทาง LINE : @botanicessence
092-932-3244 (คุณเก่ง) จันทร์-เสาร์ 10.00-18.00 น.
081-354-3664 (คุณนัท) จันทร์-อาทิตย์ 10.00-20.00 น.
087-974-1994 (คุณเอก) จันทร์-อาทิตย์ 10.00-20.00 น.
080-104-8647, 02-721-4577 (คุณตรีจักร) จันทร์-ศุกร์ 11.00-18.00 น.
|
|
|
แผนผังเวบไซท์ BOTANICESSENCE |
|
|
|
|
|